ประเมินสถานภาพวิชาชีพทนายความไทย
ยัง (Kimball
Young) และ แม็ก (Raymond W.Mack) ได้ให้คำนิยามสถานภาพ
(status) ว่า “ตำแหน่ง (position) ในโครงสร้างสังคม” (อานนท์, น.13)
ในฐานะที่ทนายความเป็นวิชาชีพหนึ่งจึงอาจกล่าวได้ว่าสถานภาพของวิชาชีพทนายความคือระดับของวิชาชีพในโครงสร้างตำแหน่งของวิชาชีพกับอาชีพต่าง
ๆ ในสังคมไทย ซึ่งเมื่อเอาวิชาชีพทนายความและวิชาชีพอื่นหรืออาชีพอื่น ๆ มาเปรียบเทียบกันแล้ว
ก็จะประเมินได้ว่าวิชาชีพทนายความอยู่ในตำแหน่งระดับใดสูงหรือต่ำในสังคม ตัวอย่างเช่นเมื่อเปรียบเทียบกับวิชาชีพทนายความทนายความในประเทศอเมริกาหรือประเทศแถบยุโรปจะได้รับการยอมรับยกย่องในสังคมสูงกว่าอาชีพอื่น
ๆ ในสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาชีพทนายความในสังคมไทยยังได้รับการยอมรับน้อยกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบยุโรป อเมริกา หรือในประเทศพัฒนาแล้ว คำว่า
“ทนายความคือพวกหัวหมอ” หรือคำพูดของนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันที่เปรียบเทียบว่าทนายความคือพวกที่ช่วยคนหลังทำผิด
คำพูดเหล่านี้เป็นตัวชี้วัด (Indicator) อย่างหนึ่ง ซึ่งชี้ได้ว่าวิชาชีพทนายความไทยอยู่ในระดับใดของสังคมไทย เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาชีพหรืออาชีพอื่น
ๆ แต่การประเมินที่แท้จริงจะต้องมีมาตรการ
อะไรคือมาตรการ และอะไรคือปัจจัยหรือตัวแปรที่กำหนดให้วิชาชีพทนายความว่าอยู่ในตำแหน่งใดในสังคมไทยมาตรการประเมิน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสถานภาพของวิชาชีพทนายความเป็นปกติ
หรือกำลังตกต่ำเสื่อมถอยลง จึงต้องมีเครื่องวัดที่เข้าใจหัวใจหรืออุดมการณ์ของวิชาชีพ
ซึ่งมีมาตรการประเมินสถานภาพของวิชาชีพทนายความอยู่ 2 ชั้น เป็นตัวเหตุ
(causes) และตัวผล (effects) ต่อกัน ดังนี้
มาตรการชั้นที่
1 :
ตัวผล ได้แก่ “สมาชิก และสมาชิกภาพ”
มาตรการชั้นที่
2 :
ตัวเหตุ ได้แก่ “รางวัล”มาตรการชั้นที่ 1 สมาชิกและสมาชิกภาพ ประกอบด้วย 3 มาตรการย่อย
1.1 การเข้าเป็นสมาชิกวิชาชีพทนายความ ดูจากคุณภาพและปริมาณของบุคคลที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของวิชาชีพทนายความ โดยเราต้องตรวจสอบว่ามีสาธารณชนมาสมัครเป็นทนายความ
หรือขอมีใบอนุญาตทนายความมากน้อยเพียงใด คนเหล่านั้นมาจากชนชั้นใดในสังคม เช่น เป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบนิติศาสตร์บัณฑิต
หรือจบเนติบัณฑิตไทย แต่เป็นสมาชิกเพื่อรอสอบอัยการ และผู้พิพากษา หรือเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุ
แต่มีวุฒิ น.บ. จึงมาสมัครเพื่อขอมีใบอนุญาตทนายความ ชนชั้น และ เพศบ่งชี้ถึงอำนาจและความได้เปรียบในสังคม
ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม วัยวุฒิ บ่งชี้ถึงกำลังความสามารถและประสบการณ์ของชีวิตความสามารถ
คุณธรรม ศรัทธาในวิชาชีพทนายความ บ่งชี้ถึงคุณภาพของผู้ที่จะมาเป็นทนายความหากปัจจัยข้างต้นบ่งชี้ในทางบวก
ก็แสดงว่าสถานภาพของวิชาชีพทนายความในสังคมอยู่ในขั้นปกติหรือดี หรือดีมาก หากบ่งชี้ในทางลบมากก็แสดงว่าผู้ที่จะมาเป็นทนายความไม่ได้ศรัทธาในวิชาชีพหรืออาจมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งมาตรการนี้สามารถทำได้โดยเก็บข้อมูลจากเอกสารทะเบียนแล้วแยกออกเป็นหมวดหมู่ตามหัวข้อ
ก็จะมองเห็นผลบวกหรือลบได้
1.2 การดำรงอยู่ในวิชาชีพทนายความ หมายความว่า สถานภาพที่สูงส่งมั่นคงของวิชาชีพที่มีระดับความยอมรับของสังคมสูง
ย่อมเป็นสิ่งดึงดูดใจให้ทนายความประกอบอาชีพทนายความไปตลอดชีวิต ในทางกลับกันถ้าสถานภาพที่ตกต่ำของวิชาชีพย่อมเป็นเหตุให้ทนายความที่อุดมการณ์ไม่แกร่งกล้าละทิ้งวิชาชีพไปทำงานอื่น
เช่น ไปสอบอัยการ ผู้พิพากษา ประกอบอาชีพธุรกิจ
ดังนั้น การดำรงอยู่หรือทอดทิ้งวิชาชีพทนายความของสมาชิกสภาทนายความจึงเป็นมาตรการที่ใช้ประเมินสถานภาพของวิชาชีพทนายความไทยได้
ข้อมูลที่ควรหาเพื่อประกอบในการประเมินตรงนี้คือ
1. มีสมาชิกสภาทนายความจำนวนเท่าใดที่ทิ้งวิชาชีพในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
จากข้อเท็จจริงสภาทนายความมีสมาชิกประมาณ 40,000 คนเศษ มีที่อยู่ที่ขึ้นทะเบียนในกรุงเทพมหานครประมาณ
20,000 คน อยู่ใน 75 จังหวัด รวมกันอีกประมาณ
20,000 คน แต่ในจำนวนทั้งหมดมีทนายความหลายคนที่มีใบอนุญาตตลอดชีพ แต่ไม่ได้ประกอบอาชีพทนายความแล้ว
เช่น รับราชการเป็นอัยการ ตำรวจ ผู้พิพากษา นิติกรภาครัฐ หรือไปประกอบธุรกิจ เป็นต้น
2. คุณสมบัติของผู้ที่ทิ้งวิชาชีพทนายความเป็นอย่างไร
(เพศ วัย สถานภาพทางสังคม ตำแหน่ง เงินเดือน ฯลฯ) และ3. เหตุผลที่คนเหล่านี้ทิ้งวิชาชีพทนายความคืออะไร
หากเราได้ข้อมูลเหล่านี้มาก็สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุและกำหนดแนวทางแก้ไข
เพื่อทำให้สถานภาพวิชาชีพทนายความไทยดีขึ้นกว่าเดิมได้
1.3 การอุทิศตัวแก่วิชาชีพ หมายถึง การที่ทนายความมีอิทธิบาทสี่ในวิชาชีพคือมี ฉันทะ (ความรับ ความพอใจ) วิริยะ (ความพากเพียร)
จิตติ (ความเอาใจใส่) และวิมังสา
(หมั่นไตร่ตรองหาเหตุผล) สมาชิกสภาทนายความที่อุทิศตนแก่วิชาชีพทนายความย่อมมีความภูมิใจและมีความสุขในการที่ได้เป็นทนายความ
และประกอบอาชีพทนายความ
ข้อมูลที่ควรหาเพื่อประเมิน
เช่น
1. ทนายความมีอาชีพอื่นทำด้วยหรือไม่
อาชีพใดเป็นอาชีพหลัก อาชีพใดเป็นอาชีพเสริม
2. ทนายความได้พัฒนาตัวเองอย่างไรบ้าง
เพื่อที่จะให้มีคุณสมบัติที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานวิชาชีพทนายความดีขึ้น
และดีขึ้นหรือไม่เพียงใด
3. ทนายความที่อุทิศตนในวิชาชีพมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
และมีคุณสมบัติ (เพศ อายุ สถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคม
ความสามารถ ความศรัทธาในวิชาชีพ ความรักในเพื่อนมนุษย์) เป็นอย่างไร 4. ทนายความที่อุทิศตนในวิชาชีพมีเหตุผลอะไร
มาตรการชั้นที่ 2 รางวัล (ตัวเหตุ) นอกจากใช้มาตรการชั้นที่ 1 แล้ว ยังมีมาตรการประเมินที่จะช่วยทำให้การระบุสถานะวิชาชีพทนายความในสังคมดูชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถใช้ “รางวัล” เป็นมาตรการประเมินแบ่งรางวัลออกได้เป็น 2 ประเภท
มาตรการชั้นที่ 2 รางวัล (ตัวเหตุ) นอกจากใช้มาตรการชั้นที่ 1 แล้ว ยังมีมาตรการประเมินที่จะช่วยทำให้การระบุสถานะวิชาชีพทนายความในสังคมดูชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถใช้ “รางวัล” เป็นมาตรการประเมินแบ่งรางวัลออกได้เป็น 2 ประเภท
2.1 รางวัลภายนอก (extrinsic
reward)
2.2 รางวัลภายใน (intrinsic
reward)
2.1 รางวัลภายนอก
(extrinsic reward) คือประโยชน์สุข (utility) ที่ได้จากสังคมในฐานะที่เป็นสมาชิกของวิชาชีพ ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง
และสังคมวัฒนธรรม ซึ่งแบ่งแยกย่อยออกได้เป็น 5 อย่าง คือ
(ก)
รายได้ (income) คือ ตัวเงินที่ทำได้รายเดือน
โดยเฉลี่ยจากการเรียกค่าปรึกษาวิชาชีพทนายความ หรือค่าว่าความ เป็นต้น
ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบรายได้วิชาชีพทนายความ ในช่วงเวลาต่างกัน ทั้งนี้
ต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบด้วย
(ข)
สิ่งตอบแทนและสวัสดิการ (welfare) คือ
รายได้เสริมของทนายความ ส่วนสวัสดิการคือผลประโยชน์ที่ได้เนื่องจากตำแหน่งในวิชาชีพทนายความ เช่น
การเบิกค่ารักษาพยาบาล, สิทธิในการกู้เงินฉุกเฉิน
ค่าเล่าเรียนบุตรทนายความ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง
เป็นต้นสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นตัวชี้วัด (Indicator) ในการประเมินสถานภาพของวิชาชีพทนายความ
(ค)
เสรีภาพในการปฏิบัติงาน (freedom) หมายถึง
สาธารณชนหรือสังคมย่อมไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติงานของสมาชิกวิชาชีพทนายความ
เช่น ให้สภาทนายความตรวจสอบวิชาชีพทนายความด้วยกันเอง
โดยมีคณะกรรมการมรรยาททนายความเป็นหน่วยงานตรวจสอบ ถ้าวิชาชีพใดถูกแทรกแซงมากถูกวิพากษ์วิจารณ์ควบคุมตรวจสอบมาก
ย่อมหมายถึงสถานภาพของวิชาชีพนั้น ๆ ไม่แข็งแกร่งหรือกำลังตกต่ำลง
(ง)
เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือการยอมรับนับถือ (prestige) เหล่านี้ล้วนเป็นรางวัลทางสังคม วัฒนธรรมที่สาธารณชนให้แก่สมาชิกวิชาชีพ
เช่น วิชาชีพทนายความจะได้รับความศรัทธา ไว้วางใจ และการยกย่องจากสังคมว่าเป็นปัญญาชน
ผู้เชี่ยวชาญ กฎหมาย มีศักดิ์ศรี หากเห็นเกียรติยศ และคุณธรรม
หรือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าวัตถุเงินทอง ในการประเมินสถานภาพของวิชาชีพทนายความด้านสังคมและวัฒนธรรมนี้
ต้องวิเคราะห์หาเครื่องมือหรือมาตรการย่อย เช่น ปริมาณคนที่ใช้บริการวิชาชีพทนายความ
เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานทางกฎหมายหน่วยอื่น
หรือความชื่นชมของสาธารชนที่แสดงออกด้วยกริยาอาการ คำพูด หรือปรากฎทางสื่อมวลชน
เป็นต้น
(จ)
ความมั่นคง, เสถียรภาพ (security) แม้วิชาชีพอาจจะไม่ทำให้ใครร่ำรวย แต่หากผู้มีวิชาชีพทนายความยึดมั่นในคุณธรรม
ความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพก็จะทำให้วิชาชีพทนายความมีความมั่นคงในชีวิตสูง
เพราะบริการวิชาชีพมักจำเป็นแก่สังคม จึงสามารถใช้เป็นเครื่องยังชีพตลอดชีวิตได้
2.2 รางวัลภายใน
(intrinsic rewards) คือประโยชน์สุขที่ผู้มีวิชาชีพทนายความได้จากตัวงานวิชาชีพเอง
เป็นลักษณะนามธรรมมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้
(ก)
สมรรถภาพ (Compentency) วิชาชีพทนายความต้องอาศัยความชำนาญพิเศษด้านกฎหมายในการปฏิบัติงาน
จึงเป็นเครื่องช่วยพัฒนาความสามารถของทนายความตลอดช่วงเวลาที่ยังเรียนรู้
และปฏิบัติงานอยู่อาจเกิดจากมีกฎหมายใหม่ ๆ ที่ต้องใช้ในการปฏิบัติงาน
ซึ่งต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดมา ทั้งงานทนายความต้องใช้ความสามารถหลายด้าน
เช่น มีความรู้ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การคิดเชิงบูรณาการ ทักษะ
การคิด เหตุผล เป็นต้น
(ข)
จริยภาพ (disinterested) วิชาชีพทนายความต้องถูกคาดหวังให้อุทิศตนในการช่วยเหลือสังคมในแง่ของการส่งเสริม
ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การศึกษาแก่ประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย
ซึ่งนอกจากประกอบวิชาชีพทนายความแล้วต้องมีอุดมการณ์แห่งการเสียสละและบริการด้วย จึงเป็นการพัฒนาจริยธรรมส่วนตนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
(ค)
อิสรภาพ เพราะวิชาชีพทนายความให้อิสรภาพแก่ทนายความ 3 ระดับ คือ
(1) อิสรภาพที่จะค้นคว้าและประกาศสัจธรรมในวิชาชีพ
ทั้งไม่จำกัดในการพัฒนาคุณภาพของตนเองให้เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญและมีอุดมการณ์
(2) อิสรภาพที่จะให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่บุคคลอื่นในระดับหนึ่ง
โดยไม่เห็นแก่ได้หรือไม่เสียสละจนเกินไป
(3) มีอิสรภาพที่จะหลุดพ้นจากความโง่เขลา
หลุดพ้นจากการเป็นทาสของกิเลสในระดับหนึ่ง
ทั้งให้อิสรภาพในการดำรงชีวิตจากวิชาชีพทนายความ
ทั้งช่วยในการดำรงชีพของทนายความเป็นอย่างมาก
(ง)
ความศรัทธา สมาชิกวิชาชีพทนายความถ้ามีความศรัทธาในอุดมการณ์ คือ
มีความเสียสละ ศรัทธาในมนุษย์ ศรัทธาในตนเอง ทำให้ชีวิตมีความหมายและมีพลัง
ย่อมชักนำให้เคารพคนอื่น ทั้งได้รับความยอมรับจากผู้อื่นในวิชาชีพทนายความด้วย
(จ)
มิตรภาพ การปฏิบัติงานวิชาชีพทนายความอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม
โดยไม่เห็นแก่ได้ เท่ากับเป็นการหยิบยื่นมิตรภาพให้แก่คนอื่น
ย่อมได้รับมิตรภาพที่ดีกลับคืนมาเช่นเดียวกัน
มิตรภาพจึงเป็นรางวัลที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มีวิชาชีพทนายความได้
(ฉ) ปัจเจกภาพ
หากผู้มีวิชาชีพทนายความได้ฝึกปรือตัวเอง ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งมีอุดมการณ์
ทำให้ผู้นั้นสามารถมองย้อนเห็นว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร
หากยอมรับและเข้าใจตนเองได้ย่อมสามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่เท่าที่ตนเองมีความสามารถ
(self – actualization) ซึ่งเป็นการบรรลุความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์
ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่พัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต
(ช)
สุนทรียภาพ
คือภาวะแห่งความงามที่สามารถรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า
สำหรับผู้มีวิชาชีพทนายความในฐานะที่เป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม อุดมการณ์
ย่อมมีโอกาสเข้าถึงสุนทรียภาพ ได้เหนือกว่าสาธารณชนทั่วไป
และหากสถานภาพของวิชาชีพทนายความได้รับการยอมรับสูงในสังคม
ย่อมทำให้ผู้มีวิชาชีพทนายความสามารถเข้าถึงสุนทรียรสของวรรณกรรม ดนตรี การแสดง
ฯลฯ ในระดับสูงได้ดีกว่าเข้าถึงความงดงามของงานศิลปะต่าง ๆ ได้ดีกว่า เป็นต้น
(ซ)
ความสุข ผู้มีวิชาชีพทนายความสามารถได้ความสุขระดับหนึ่งจากรายได้
สิ่งตอบแทน สวัสดิการ อำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง
ที่สังคมมอบให้แก่ทนายความสามารถมีความสุขในระดับสูงขึ้น
จากการได้พัฒนาตนเองด้านความสามารถอันหลากหลาย และจริยธรรม
ทั้งสามารถลิ้มรสความสุขจากการที่ได้ทราบว่าชีวิตทนายความของคนนั้นมีความหมาย
มีพลังอันเป็นผลมาจากความศรัทธาในอุดมการณ์ของวิชาชีพ ศรัทธาในตนเอง
และเพื่อนมนุษย์ เช่น ทนายความทองใบ
ทองเปานด์ ที่ได้รู้อย่างแท้จริงว่า
รสชาติของความสุขจากมิตรภาพที่แท้ที่สังคมยอมรับและมอบให้เป็นอย่างไร
โดยสรุป สถานภาพของวิชาชีพทนายความ
คือ ระดับของรางวัลทั้งภายนอกและภายในที่สมาชิกวิชาชีพทนายความได้จากการปฏิบัติงานนั้น
ๆ โดยวัดจากรายได้ ค่าตอบแทน และสวัสดิการ อำนาจ หรือเสรีภาพในการปฏิบัติงาน
และเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือการยอมรับนับถือ ตลอดจนความมั่นคงจากการใช้บริการวิชาชีพนั้นได้จากสังคมในความเป็นจริง
มาตรการที่ใช้ประเมินสถานภาพของวิชาชีพมักได้แก่ “รายได้”
(income) เพราะชัดเจนเป็นปรนัยและประยุกต์ใช้ง่าย แต่ก็เป็นมาตรการที่หยาบไม่ค่อยเหมาะสม
ส่วนมาตรการที่เป็นรางวัลภายใน (intrinsic rewards) เป็นมาตรการที่สอดคล้องกับลักษณะวิชาชีพทนายความมาก
แต่เป็นนามธรรมสูง วัดและประเมินได้ยากโครงสร้างสังคมไทยปัจจุบันมีการให้ค่ากับคนผู้มีความมั่งคั่งร่ำรวยอยู่ตรงบนสุดของโครงสร้างคุณค่า
(value structure) จึงทำให้มีการใช้ “รายได้”
(income) เป็นมาตรการเดียวในการวัดสถานภาพจึงเป็นเรื่องที่สภาทนายความและผู้มีวิชาชีพทนายความ
ตลอดจนสังคมต้องตระหนักเพื่อสร้างความเข้าใจ และสามารถพัฒนาวิชาชีพทนายความ
จนสามารถใช้ทุกมาตรการวัดผลได้จนเป็นที่ยอมรับของสังคมในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น